เริ่มต้นตั้งแต่จำความได้ในวัยเด็ก "บารมีทัศน์ อรรถวิภาคภูมิ" หรือ "เอิร์ธ" เป็นลูกคนเล็กคนที่ 5 ในจำนวนพี่น้อง 5 คน ซึ่งเป็นชายล้วน ด้วยความที่เป็นลูกชายคนเล็กสุดท้องของพ่อกับแม่ และเป็นน้องชายลำดับสุดท้ายของพี่ชายทั้ง 4 คน มีบ้างในบางครั้งอาจเป็นที่น่าหมั่นไส้ของพี่ๆ ที่พ่อและแม่เอาใจใส่ให้ความรักเพราะเป็นลูกคนเล็กสุด แต่บรรดาพี่ๆไม่รู้หรอกว่า ถ้าแลกเปลี่ยนกันได้ ผมอยาก ให้แม่และพ่อไปโอ๋เอาใจพี่ๆบางคนในบ้านจะดีมาก,,, เพราะว่าจะได้ไม่ต้องโดนพี่ๆรังแก เอาเปรียบหรือใช้ทำงานบ้านทุกอย่างทั้งซักเสื้อผ้า หุงหาอาหาร ไปซื้อของที่ตลาด ดูแลความสะอาดบ้านแทนพี่ๆ ยามที่พ่อกับแม่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน (เพียงเพราะอิจฉาน้อง) ในวัยเป็นเด็กเล็กก็ได้เรียนแค่โรงเรียนวัด เพราะไม่ต้องเสียค่าเทอม แต่..ไม่เคยน้อยใจ คิดว่าที่โรงเรียนวัดก็เกรดดีได้ถ้าตั้งใจเล่าเรียน แต่ตนเองก็ต้องอดทนมาก เพราะบางครั้งมีค่าขนมไปกินโรงเรียนไม่เหมือนเพื่อนๆ คือ ได้ไปโรงเรียนบ้าง กับไม่ได้ไปโรงเรียนบ้าง เพราะพ่อแม่ไม่มีจะให้ทุกวัน ทำไงได้ครับ โชคดียังมีทุนกินข้าวฟรีตอนกลางวันจากโรงเรียน ส่วนขนมอร่อยๆหรือของเล่นฮิตๆแพงๆตามสมัย คิดว่าไม่จำเป็นในชีวิต และไม่มีปัญญาซื้อแน่นอน ไม่ต้องคิดถึงให้ปวดหัว ดูเพื่อนๆเขาเล่นก็เพลินๆไปอีกแบบนะผมว่า เขยิบขึ้นมาตอนเรียนชั้น ม.ต้นก็ไม่ต่างอะไรกับวัยประถม คือ อดและทน เหมือนเดิม! และในบางทีไม่มีค่าอุปกรณ์ตำรารายงานเสริมพิเศษในวิชาการเรียนก็ต้องหยุดไปหรือแกล้งเบลอบ แกล้งป่วยบ้างจนไม่ต้องไปเรียน รอดตัวไปได้ขณะนั้น เท่านั้น! แต่ก็เคยถูกทางโรงเรียนทวงค่าบำรุงการศึกษาทุกครั้งและไปจ่ายเป็นคนลำดับท้ายสุดทุกเทอม ก็มีอายเพื่อนๆเหมือนกันนะครับ ทำไงได้ครับ จนในที่สุดได้จบแค่ชั้น ม.3 มาอย่างหัวใจเกือบวาย เพราะมีปัญหาหยุดเรียนมากเกินไปจนขาดสอบและผลสอบออกมาติด 0 ต้องสอบซ่อมใหม่ ชะตาชีวิตลิขิตให้ตนเองมีโอกาสเรียนจบแค่ ม.ต้นแค่นี้ เท่านั้น เพราะเคยมีโอกาสได้เข้าเรียนระดับ ปวช. ได้แค่เทอม 2 ปี1 เท่านั้น ก็ต้องยุติลาออกมาหางานทำเลี้ยงตัวไปก่อน ด้วยปัญหาหลักๆแบบเดิมคือถ้านักเรียนไม่ได้จ่ายค่าเทอมให้โรงเรียน ก็จะไม่ได้เข้าสอบ อีกทั้งตัวผมขณะนั้นรู้สึกสงสารคุณแม่ที่ต้องหาเงินค่าเทอมให้ผมทุกครั้ง .ด้วยการไปกู้เงินคนข้างบ้านในอัตราร้อยละยี่สิบ ในยุคนั้น ปี 2530 ถือว่าอัตราดอกเบี้ยนี้เข้าข่ายเงินกู้หน้าเลือดเช่นกัน ณ.เวลานี้แม้ไม่ได้เรียนต่อแล้วก็ต้องหางานทำ จะได้มีเงินเลี้ยงตัวในแต่ละวัน ได้ไปสมัครงานเป็นพนักงานขายเสื้อผ้าในร้านย่านบางลำภูได้ค่าแรงรายวัน วันละ60 บาท หยุดงานวันใดไม่ได้เงิน แต่ต้องระวังพิเศษเรื่องเข้างานสายเพราะจะถูกหักเงินค่าแรงอย่างแน่นอน ทำได้ไม่นานก็ต้องออก เพราะคิดว่าชีวิตข้างหน้าน่าจะมีอะไรที่ได้เงินและมีอนาคตได้มากกว่านี้ จึงออกมาหาช่องทางในสถานที่ต่างๆ แต่ใจก็ยังตามหาฝันให้ตัวเองอยู่ ซึ่งมีความรักในงานด้านบันเทิง ส่วนด้านความอยู่รอดในแต่ละวัน ก็ต้องมีรายได้เอาไว้ใช้จ่ายด้วย โดยมีรายได้หลักจากการเป็นลูกจ้างเสิร์ฟอาหาร ล้างจาน ที่ร้านข้าวแกงข้างบ้านหรือร้านก๋วยเตี๋ยวหน้าปากซอยบ้าง โดยมีรายได้ค่าจ้างแค่ 30 บาทต่อวัน แต่มีดีตรงที่ได้ประหยัดค่าอาหารเพราะกินอาหารฟรีที่ร้านในแต่ละวัน ทำได้ก็ไม่นานนัก เพราะอนาคตจะอยู่แค่นี้เหรอ!! และทางร้านก็จะหยุดบ่อยเพราะขายไม่ดี ก็คิดว่า ไม่ใช่อนาคตแน่ๆครับ แต่ใจยังคงวิ่งตามหาฝันของตนเองควบคู่ไปด้วยการสมัครเป็นนักแสดงกับค่ายบันเทิง ทั้งค่ายหนังค่ายละคร และโมเดลลิ่ง ก็มีได้ทำบ้างกับบทบาทตัวประกอบอดทนค่าตัวถูกๆเล่นทั้งวันได้ 120-180 บาท ทั้งงานหนัง งานละครทีวี mvเพลง(ตัวประกอบ) ตนเองผ่านมาหมดแล้ว หรือบ้างครั้งเขาก็ไม่ได้ยินดีอยากให้งานทำด้วยเพราะตัวผมเองมีหน้าตาและบุคลิกไม่โดดเด่นพอที่จะเป็นดาวได้ . เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ยามอยู่ได้ก็ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ยามชีวิตแย่ๆก็แค่กระอักจุกอก เคยได้ทำงานประจำกินเงินเดือนก็พอใจ แถมมีจ๊อบพิเศษเล่นละครบทเด่นค่าตัวดี มีเงินเก็บเพิ่มมากขึ้น แต่ใครจะทำงานสองอย่างได้ในเวลาเดียวกันมันลำบากใจ เป็นคนดีเกรงใจเพื่อนร่วมงานกลัวเขาคิดว่าเราเอาเวลาทำงานหลักไปรับจ๊อบพิเศษ กินแรงเพื่อนไปไหม! ตัดสินใจ ลาออก เลือกงานที่ใจรักยึดอาชีพนักแสดงไม่ดังต่อไป แม้จะไม่ได้ร่ำรวยจากงานนี้ แต่มีใจรัก คิดว่า ลองดูกับมันสักตั้งถ้าไปไม่ไหวจริง เดี๋ยวหาที่สมัครงานใหม่ หรือไปอ้อนผู้ใหญ่ให้ฝากทำงานอีกครั้ง (คิดแค่นั้นจริงๆ) . ที่สุดของชีวิตก็ช่วงนี้แหละครับ จำได้ดีปี พ.ศ.2550 จากงานด้านแสดงดี มีเข้ามาเรื่อยๆ ก็เริ่มลดลงเรื่อยๆ แต่ก็ใจสู้และไม่เคยรู้เลยว่า มีบ้างอย่างที่น่ากลัวมาก ก้าวเดินเคียงคู่ไปด้วยกับตนเองคืออาการเจ็บป่วยในร่างกาย จนต้องมีเข้าโรงพยาบาล ตรวจ-เช็ก-รักษาตัว กับโรค หลอดเลือดตีบในสมอง ฟังดูแล้วอาจจะคิดว่าเบาะๆเด็กๆ แต่ในอีกด้านที่ขอขยายความหมายกว้างๆก็คือ อาการของคนที่เหยียบเท้าก้าวเข้าไปในโรคอัมพฤกษ์ อัมพาตนั่นแหละ ป่วยกายไม่เท่าไหร่ถ้ากำลังใจดี ก็สามารถหายไวได้ แต่ไม่ใช่ความโชคดีของคนชื่อ บารมีทัศน์อย่างผมแน่นอน .. ทุกอย่างต้องพึ่งตนเอง เป็นเอง ก็ต้องรักษาตัวเอง หาเงินเอง ต้องออกจากบ้านที่เคยเช่าอยู่รวมกันทั้งหลัง ต้องซมซานมาหาห้องเช่าให้ตนเองอยู่คนเดียว เพราะพี่ๆไม่ค่อยพอใจที่ตนเองไม่มีปัญญาช่วยค่าเช่าได้ หรือเขาคงไม่อยากดูแลในยามที่ร่างกายผมยังแย่อยู่ .. ท้อแต่ไม่ถอดใจ คิดตลอดว่าต้องรักตนเองให้มากกว่าเดิม สู้ สู้ ทั้งดูแลร่างกาย และหาค่าใช้จ่ายให้ตนเอง เพราะกินก็เงิน-อยู่ก็เงิน-เดินทางไปไหนมาไหนก็เงิน แถมวิ่งวุ่นต้องหาเงินมาจ่ายค่าเช่าห้องให้ได้ทุกเดือน อันนี้ยังไม่รวมค่ายาค่ารถไปหาหมอ ค่าข้าวค่าน้ำในแต่ละมื้อของในแต่ละวันอีกครับ รักษาตัวมาเข้าปีที่ 2 แล้ว .. ด้านอาการก็ดีขึ้นตามลำดับ แต่จะหายเป็นปกติเหมือนตอนที่ยังไม่ได้เข้าโรงพยาบาล งานนี้ต้องใช้เวลารักษาดูแลกายภาพ+มีโชคเข้าข้างอีก อาจเป็นปี 2ปี 3ปี จึงจะวิ่งได้แบบแข็งแรง หรือเดินไม่เป๋ คิดว่าคงจะต้องรักษาตัวอีกนานเป็นปี(อย่างเร็วสุด) แต่ตอนนี้ในใจท่องไว้ตลอด สู้ สู้ สู้ ขอเอาใจช่วยคุณเอิร์ธ-บารมีทัศน์ อีกแรง!!! คนดีๆ แบบนี้ฟ้าย่อมมองเห็น
สินค้าในตระกร้า(0)
|
แจ้งผลการโอนเงิน
|
แจ้งปัญหา
|
ขอเมลล์ยืนยัน
|
JOB
สมัครสมาชิกเพื่อรับ
สิทธิต่างๆจากสำนักพิมพ์
•
ลืมรหัสรหัสผ่าน
:: ::ค้นหา
เลือกกลุ่มหนังสือ
TV Magazine
TV Magazine HERO
ละครเฉพาะกิจ
Gamemag
Hobby Toy&Model
TopGun
SportStreet
Pocketbooks
Animate Comics
CosmodeThailand
เลือกค้นหาจาก
ค้นหาจากชื่อหนังสือ
ค้นหาจากชื่อผู้แต่ง
ค้นหาจากเลขฉบับ
ค้นหาเดือนที่พิมพ์
ค้นหาจากเนื้อหา
คำค้นหา
(เดือน:มีนาคม,เลขฉบับ:465)
4) เมื่อคุณหมอไม่รู้จัก
อาหารเสริม ความตายฯ
5) พระสมเด็จวัดระฆัง
6) เรื่องเล่าดีๆมีไว้แบ่งปัน
กับความประทับใจมิรู้ลืม
7) เรียนรู้กลยุทธ์ธุรกิจจาก
กาแฟ 1 ถ้วย
8) รูปที่มีทุกบ้าน พระราชาที่
ทุกคนรัก
9) เปลี่ยนชีวิตด้วยพลังตัวเลข
10)หลักสูตรรบพิเศษ ฉบับสมบูรณ์
*ข้อมูลจากยอดขาย
รอบเดือนมกราคม 2561
ส่งหน้านี้ให้เพื่อน
น้ำตา ตัวประกอบ ชีวิตตัวประกอบ แต่หัวใจไม่กระจอก เอิร์ธ-บารมีทัศน์
เริ่มต้นตั้งแต่จำความได้ในวัยเด็ก
"
บารมีทัศน์ อรรถวิภาคภูมิ" หรือ "เอิร์ธ"
เป็นลูกคนเล็กคนที่
5 ในจำนวนพี่น้อง 5 คน ซึ่งเป็นชายล้วน ด้วยความที่เป็นลูกชายคนเล็กสุดท้องของพ่อกับแม่ และเป็นน้องชายลำดับสุดท้ายของพี่ชายทั้ง 4 คน มีบ้างในบางครั้งอาจเป็นที่น่าหมั่นไส้ของพี่ๆ ที่พ่อและแม่เอาใจใส่ให้ความรักเพราะเป็นลูกคนเล็กสุด แต่บรรดาพี่ๆไม่รู้หรอกว่า ถ้าแลกเปลี่ยนกันได้ ผมอยาก
ให้แม่และพ่อไปโอ๋เอาใจพี่ๆบางคนในบ้านจะดีมาก,,, เพราะว่าจะได้ไม่ต้องโดนพี่ๆรังแก เอาเปรียบหรือใช้ทำงานบ้านทุกอย่างทั้งซักเสื้อผ้า หุงหาอาหาร ไปซื้อของที่ตลาด ดูแลความสะอาดบ้านแทนพี่ๆ ยามที่พ่อกับแม่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน
(เพียงเพราะอิจฉาน้อง)
ในวัยเป็นเด็กเล็กก็ได้เรียนแค่โรงเรียนวัด เพราะไม่ต้องเสียค่าเทอม แต่..ไม่เคยน้อยใจ คิดว่าที่โรงเรียนวัดก็เกรดดีได้ถ้าตั้งใจเล่าเรียน แต่ตนเองก็ต้องอดทนมาก เพราะบางครั้งมีค่าขนมไปกินโรงเรียนไม่เหมือนเพื่อนๆ คือ ได้ไปโรงเรียนบ้าง กับไม่ได้ไปโรงเรียนบ้าง เพราะพ่อแม่ไม่มีจะให้ทุกวัน ทำไงได้ครับ โชคดียังมีทุนกินข้าวฟรีตอนกลางวันจากโรงเรียน ส่วนขนมอร่อยๆหรือของเล่นฮิตๆแพงๆตามสมัย คิดว่าไม่จำเป็นในชีวิต และไม่มีปัญญาซื้อแน่นอน ไม่ต้องคิดถึงให้ปวดหัว ดูเพื่อนๆเขาเล่นก็เพลินๆไปอีกแบบนะผมว่า
เขยิบขึ้นมาตอนเรียนชั้น ม.ต้นก็ไม่ต่างอะไรกับวัยประถม คือ อดและทน เหมือนเดิม! และในบางทีไม่มีค่าอุปกรณ์ตำรารายงานเสริมพิเศษในวิชาการเรียนก็ต้องหยุดไปหรือแกล้งเบลอบ แกล้งป่วยบ้างจนไม่ต้องไปเรียน รอดตัวไปได้ขณะนั้น เท่านั้น! แต่ก็เคยถูกทางโรงเรียนทวงค่าบำรุงการศึกษาทุกครั้งและไปจ่ายเป็นคนลำดับท้ายสุดทุกเทอม ก็มีอายเพื่อนๆเหมือนกันนะครับ ทำไงได้ครับ จนในที่สุดได้จบแค่ชั้น ม.3 มาอย่างหัวใจเกือบวาย เพราะมีปัญหาหยุดเรียนมากเกินไปจนขาดสอบและผลสอบออกมาติด 0 ต้องสอบซ่อมใหม่
ชะตาชีวิตลิขิตให้ตนเองมีโอกาสเรียนจบแค่ ม.ต้นแค่นี้ เท่านั้น
เพราะเคยมีโอกาสได้เข้าเรียนระดับ ปวช.
ได้แค่เทอม 2 ปี1 เท่านั้น ก็ต้องยุติลาออกมาหางานทำเลี้ยงตัวไปก่อน ด้วยปัญหาหลักๆแบบเดิมคือถ้านักเรียน
ไม่ได้จ่ายค่าเทอมให้โรงเรียน ก็จะไม่ได้เข้าสอบ อีกทั้งตัวผมขณะนั้นรู้สึกสงสารคุณแม่ที่ต้องหาเงินค่าเทอมให้ผมทุกครั้ง .ด้วยการไปกู้เงินคนข้างบ้านในอัตราร้อยละยี่สิบ ในยุคนั้น ปี 2530 ถือว่าอัตราดอกเบี้ยนี้เข้าข่ายเงิน
กู้หน้าเลือดเช่นกัน ณ.เวลานี้แม้ไม่ได้เรียนต่อแล้วก็ต้องหางานทำ จะได้มีเงินเลี้ยงตัวในแต่ละวัน ได้ไปสมัครงานเป็นพนักงานขายเสื้อผ้าในร้านย่านบางลำภูได้ค่าแรงรายวัน วันละ60 บาท หยุดงานวันใดไม่ได้เงิน แต่ต้องระวังพิเศษเรื่องเข้างานสายเพราะจะถูกหักเงินค่าแรงอย่างแน่นอน ทำได้ไม่นานก็ต้องออก เพราะคิดว่าชีวิตข้างหน้า
น่าจะมีอะไรที่ได้เงินและมีอนาคตได้มากกว่านี้ จึงออกมาหาช่องทางในสถานที่ต่างๆ แต่ใจก็ยังตามหาฝันให้ตัวเองอยู่ ซึ่งมีความรักในงานด้านบันเทิง ส่วนด้านความอยู่รอดในแต่ละวัน ก็ต้องมีรายได้เอาไว้ใช้จ่ายด้วย โดยมีรายได้หลักจากการเป็นลูกจ้างเสิร์ฟอาหาร ล้างจาน ที่ร้านข้าวแกงข้างบ้านหรือร้านก๋วยเตี๋ยวหน้าปากซอยบ้าง โดยมีรายได้ค่าจ้างแค่ 30 บาทต่อวัน แต่มีดีตรงที่ได้ประหยัดค่าอาหารเพราะกินอาหารฟรีที่ร้านในแต่ละวัน ทำได้ก็ไม่นานนัก เพราะอนาคตจะอยู่แค่นี้เหรอ!! และทางร้านก็จะหยุดบ่อยเพราะขายไม่ดี ก็คิดว่า ไม่ใช่อนาคตแน่ๆครับ แต่ใจยังคงวิ่งตามหาฝันของตนเองควบคู่ไปด้วยการสมัครเป็นนักแสดงกับค่ายบันเทิง ทั้งค่ายหนังค่ายละคร และโมเดลลิ่ง ก็มีได้ทำบ้างกับบทบาทตัวประกอบอดทนค่าตัวถูกๆเล่นทั้งวันได้ 120-180 บาท ทั้งงานหนัง งานละครทีวี mvเพลง(ตัวประกอบ) ตนเองผ่านมาหมดแล้ว หรือบ้างครั้งเขาก็ไม่ได้ยินดีอยากให้งานทำด้วยเพราะตัวผมเองมีหน้าตาและบุคลิกไม่โดดเด่นพอที่จะเป็นดาวได้ .
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ยามอยู่ได้ก็ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ยามชีวิตแย่ๆก็แค่กระอักจุกอก
เคยได้ทำงานประจำกินเงินเดือนก็พอใจ แถมมีจ๊อบพิเศษเล่นละครบทเด่นค่าตัวดี มีเงินเก็บเพิ่มมากขึ้น แต่ใครจะทำงานสองอย่างได้ในเวลาเดียวกันมันลำบากใจ เป็นคนดีเกรงใจเพื่อนร่วมงานกลัวเขาคิดว่าเราเอาเวลาทำงานหลักไปรับจ๊อบพิเศษ กินแรงเพื่อนไปไหม! ตัดสินใจ ลาออก เลือกงานที่ใจรักยึดอาชีพนักแสดงไม่ดังต่อไป แม้จะไม่ได้ร่ำรวยจากงานนี้ แต่มีใจรัก คิดว่า ลองดูกับมันสักตั้งถ้าไปไม่ไหวจริง เดี๋ยวหาที่สมัครงานใหม่ หรือไปอ้อนผู้ใหญ่ให้ฝากทำงานอีกครั้ง (คิดแค่นั้นจริงๆ) .
ที่สุดของชีวิตก็ช่วงนี้แหละครับ
จำได้ดีปี พ.ศ.2550 จากงานด้านแสดงดี มีเข้ามาเรื่อยๆ ก็เริ่มลดลงเรื่อยๆ แต่ก็ใจสู้และไม่เคยรู้เลยว่า มีบ้างอย่างที่น่ากลัวมาก ก้าวเดินเคียงคู่ไปด้วยกับตนเองคืออาการเจ็บป่วยในร่างกาย จนต้องมีเข้าโรงพยาบาล ตรวจ-เช็ก-รักษาตัว กับโรค
หลอดเลือดตีบในสมอง
ฟังดูแล้วอาจจะคิดว่าเบาะๆเด็กๆ แต่ในอีกด้านที่ขอขยายความหมายกว้างๆก็คือ อาการของคนที่เหยียบเท้าก้าวเข้าไปในโรคอัมพฤกษ์ อัมพาตนั่นแหละ ป่วยกายไม่เท่าไหร่ถ้ากำลังใจดี ก็สามารถหายไวได้ แต่ไม่ใช่ความโชคดีของคนชื่อ
บารมีทัศน์อย่างผมแน่นอน ..
ทุกอย่างต้องพึ่งตนเอง เป็นเอง ก็ต้องรักษาตัวเอง หาเงินเอ
ง ต้องออกจากบ้านที่เคยเช่าอยู่รวมกันทั้งหลัง ต้องซมซานมาหาห้องเช่าให้ตนเองอยู่คนเดียว เพราะพี่ๆไม่ค่อยพอใจที่ตนเองไม่มีปัญญาช่วยค่าเช่าได้ หรือเขาคงไม่อยากดูแลในยามที่ร่างกายผมยังแย่อยู่ ..
ท้อแต่ไม่ถอดใจ คิดตลอดว่าต้องรักตนเองให้มากกว่าเดิม
สู้ สู้ ทั้งดูแลร่างกาย และหาค่าใช้จ่ายให้ตนเอง เพราะกินก็เงิน-อยู่ก็เงิน-เดินทางไปไหนมาไหนก็เงิน แถมวิ่งวุ่นต้องหาเงินมาจ่ายค่าเช่าห้องให้ได้ทุกเดือน อันนี้ยังไม่รวมค่ายาค่ารถไปหาหมอ ค่าข้าวค่าน้ำในแต่ละมื้อของในแต่ละวันอีกครับ
รักษาตัวมาเข้าปีที่ 2 แล้ว ..
ด้านอาการก็ดีขึ้นตามลำดับ แต่จะหายเป็นปกติเหมือนตอนที่ยังไม่ได้เข้าโรงพยาบาล งานนี้ต้องใช้เวลารักษาดูแลกายภาพ+มีโชคเข้าข้างอีก อาจเป็นปี 2ปี 3ปี จึงจะวิ่งได้แบบแข็งแรง หรือเดินไม่เป๋ คิดว่าคงจะต้องรักษาตัวอีกนานเป็นปี(อย่างเร็วสุด) แต่ตอนนี้ในใจท่องไว้ตลอด สู้ สู้ สู้
ขอเอาใจช่วยคุณเอิร์ธ-บารมีทัศน์ อีกแรง!!! คนดีๆ
แบบนี้ฟ้าย่อมมองเห็น
Share
Date:
[ 2010-มีนาคม-23 ]
View:
[ 3078 ]
Reply:
[ -1 ]
reply : 1
IP:
125.24.168.211
จาก : เกิ้ล ส
น้องเอ๋ ขอบคุณมากๆ สำหรับความช่วยเหลือทุกๆด้านนะครับ ขอบคุณจากใจจริงสำหรับมิตรภาพที่ดีเยี่ยมที่ยื่นให้พี่ ขอบคุณครับ
Date Pos
t
: 2010-03-24 10:03:55
reply : 2
IP:
124.121.163.211
จาก : Bow
สู้ๆ นะพี่เอิร์ธ
น้องเป็นกำลังใจให้เสมอ
Date Pos
t
: 2010-03-29 15:09:13
POST REPLY
จาก
อีเมลล์
รายละเอียด
More...
*
ป้อนรหัสยืนยันที่คุณเห็นจารูป
**กระทู้ของสมาชิกหรือความคิดเห็นต่างๆ เป็นการโพสของสมาชิกเท่านั้น ทางเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
หรือรู้เห็นใดๆทั้งสิ้น ถ้ามีปัญหาประการใดเราไม่สามารถรับผิดชอบได้ และไม่สามารถนำไปอ้างอิง
ทางกฎหมายได้ ทางเว็บ animategroup.com เป็นเพียงผู้ให้บริการกระทู้แสดงความคิดเห็นออนไลน์
เท่านั้น ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นสามารถร่วมกันตรวจสอบข้อความที่ไม่เหมาะสมได้เมื่อเห็น
กระทู้ไม่เหมาะสมต่างๆสามารถแจ้งลบได้เสมอ ทางทีมงานจะปิดกระทู้ดังกล่าวให้เร็วที่สุด
Copyright 2009 Animate Group Co.,Ltd. All rights reserved.
www.Stats.in.th