นินจา (忍者) หรือ ชิโนบิ (忍び) (ความหมาย: "ผู้คงทน") ได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มนักฆ่า หรือสปาย ในช่วงสมัยเปลี่ยนการปกครองของประเทศญี่ปุ่น โดยขณะเดียวกันนินจาได้ถูกเปรียบเทียบกับซามูไร ซึ่งซามูไรเปรียบเหมือนนักสู้ที่ต่อสู้เบื้องหน้า ขณะที่นินจาเป็นนักสู้ที่ต่อสู้เบื้องหลัง นอกจากนี้มีการกล่าวกันว่ากลุ่มคนบางคนเป็นทั้งนินจาและซามูไรพร้อมกัน ในปัจจุบันไม่มีร่องรอยของบุคคลที่เป็นนินจาหลงเหลือ เหลือเพียงแต่ซามูไร สำหรับนินจาหญิงจะเรียกว่า คุโนะอิจิ ![]() ที่มาของคำว่านินจา คำว่านินจาเชื่อว่ามีการใช้มาประมาณ 800 ปีก่อน ซึ่งหมายถึงบุคคลที่อยู่ในภูเขาและฝึกฝนนินจุตสุ (วิชาต่อสู้เกี่ยวกับการขโมยและการล่องหน) ซึ่งมาจากประโยคที่ว่า ชิโนบิโนะโมโนะ โดยเขียนในคันจิว่า 忍者 โดยตัวอักษรแรก 忍 (นิน) หมายถึง "คงทน" โดยในภายหลังคำนี้ได้มีความหมายเพิ่มเติมหมายถึง "การซ่อนตัว" และ "การขโมย" โดยตัวอักษรที่สอง 者 (จา) หมายถึง "บุคคล" นอกจากนี้ได้มีภาษาจีนได้กล่าวถึงนินจาว่า 林鬼 (หลินกุ้ย) ซึ่งหมายถึง ปีศาจในป่า ![]() ประวัติของนินจา เนื่องจากตามลักษณะของนินจาที่ได้ชื่อว่านินจาไม่เคยทิ้งร่องรอย อะไรไว้รวมถึงไม่กล่าวคุยโวเกี่ยวกับผลงานของตัวเอง ซึ่งทำให้ผลงานหรือชีวประวัติของนินจาถูกเก็บไว้เป็นความลับ ซึ่งเป็นการยากที่จะหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับนินจา ในตำนานหนึ่งได้มีการกล่าวถึงมินาโมโตะ โนะ โยชิซึเนะ ว่าได้มีเทนงูมาสอนวิชามินาโมโตะ โนะ โยชิซึเนะเพื่อฝึกฝนเป็นนินจา โดยในประวัติศาสตร์ได้มีกล่าวไว้ว่ามีพระชาวจีนรูปหนึ่งมาสอนเกี่ยวกับตำราพิชัยสงครามให้ แก่มินาโมโตะ โนะ โยชิซึเนะ โทงะคุเระ ริวได้กล่าวถึงนินจาในช่วงปลายยุคเฮอัน ไว้ว่านินจา ได้แบ่งออก เป็น 2 ฝ่ายหลัก คือ อิงะ และโคงะ ได้ร่วมต่อสู้กัน ซึ่งในนิยายหรือการ์ตูนจะกล่าวถึงการต่อสู้ระหว่างสองฝ่ายนี้ ในยุคคามะคุระ ได้มีประวัติศาสตร์กล่าวไว้ถึง คุสุโนะกิ มาซาชิเงะ ได้ใช้เทคนิคในการรบซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับวิชานินจา ต่อมาในช่วง ยุคเซนโงกุ (หรือที่รู้จักกันว่าเป็นยุคสงคราม) ไดเมียวที่ มีชื่อเสียงทุกคนมีนินจาอยู่ภายใต้การปกครองสำหรับการเป็นสปายแอบสืบข้อมูล ของฝ่ายตรงข้าม ในยุคสงครามการรู้ข้อมูลและแผนการของฝ่ายข้าศึก จะทำให้มีชัยชนะเหนือกว่า ไดเมียวบางคนได้ถูกกล่าวว่าเป็นนินจาเอง ซานาดะ ยูคิมูระ หัวหน้ากลุ่มซานาดะ ได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มนินจา หลังจากที่ซานาดะ ยูคิมูระนำกลุ่มทหารเพียง 3,000 คนปกป้องปราสาท สู้กับกองทัพ 50,000 คนของโทกุงาวะ ฮิเดทาดะ ![]() ในยุคเดียวกัน โทกุงาวะ อิเอยาสุ ได้มีการใช้นินจา จนท้ายที่สุดได้ชนะสงครามและตั้งตัวเป็นโชกุนของประเทศญี่ปุ่น มีการกล่าวถึงผลงานกลุ่มนินจา นำโดยฮัตโตริ ฮันโซ หัวหน้ากลุ่มนินจาฝ่ายอิงะ เป็นผู้นำทางให้อิเอยาสุหลบหนีออกมาในช่องเขานาระภายหลังจากที่ลอบโจมตีทัพของ โอดะ โนบุนากะ สงครามครั้งสุดท้ายที่มีการกล่าวถึงนินจา ในช่วงยุคของโชกุนโทกุงาวะ คือสงครามกลางเมืองที่ชิมาบาระ ของกลุ่มชาวนาที่โกรธแค้นฝ่ายรัฐบาลที่เรียกเก็บภาษีแพง เมื่อสิ้นสุดสงครามนินจาเริ่มหมดหน้าที่ โดยนินจาบางคนได้มาเป็นโอนิวะบันชู กลุ่มรักษาความปลอดภัยของปราสาทเอโดะ ทำหน้าที่ปกป้องผู้ร้ายและขณะเดียวกันก็แอบสืบข้อมูลของไดเมียวคนอื่น นินจาคนอื่นจะเก็บตัวปลอมปนกับชาวนาโดยยังคงฝึกฝนตัวเองอยู่ตลอดเวลาเพื่อ พร้อมที่จะได้ใช้วิชานินจาที่อาจจะมีสงครามเกิดขึ้น ในช่วงยุค 200 ปีหลังจากของตระกูลโทกุงาวะ ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใดเกิดขึ้น ทำให้ไม่มีการสืบต่อวิชานินจา โดยมีการสืบต่อผ่านทางปากต่อปากและคนสนิทเท่านั้น ในยุคเอโดะ นินจาได้เป็นที่นิยมในหนังสือและการแสดง วิชานินจาต่างๆ รวมทั้ง การล่องหน การกระโดดสูง การท่องมนต์นินจา และการเรียกกบยักษ์มาช่วยต่อสู้ ถูกสร้างขึ้นในยุคนี้สำหรับใช้ประกอบในการแสดง เพื่อความบันเทิง ![]() อาวุธของนินจา อาวุธของนินจามีลักษณะเป็นอาวุธที่ซ่อนไว้ รวมถึง ชูริเคน (ดาวกระจาย) โบะ (กระบอง) นินจาเคน (ดาบนินจาซึ่งเล็กกว่าคะตานะ (ของซามูไร) แต่ใหญ่กว่าวากิซาชิ คุนะอิ (คล้ายๆดาบแต่เป็นสี่เหลี่ยมด้านเท่าและสั้นกว่า) ประวัตินินจาในญี่ปุ่น นินจา นักฆ่าซัดอาวุธดาวกระจายที่โด่งดังในภาพยนตร์ญี่ปุ่นนั้น เดิมทีไม่ใช่มีภาพเช่นนั้น เชื่อกันว่า นินจาเป็นศิลปะการต่อสู้ที่ฝึกฝนในกลุ่มนักบวช ที่เผยแพร่จากจีนมาญี่ปุ่นในช่วงเผยแผ่ศาสนาราวปีค.ศ. 522 กลุ่มนักบวชเหล่านี้ไม่ใช้วิชาการต่อสู้เพื่อความรุนแรง จนกระทั่งปีค.ศ. 645 ที่ฝ่ายสงฆ์เริ่มนำวิชาการต่อสู้นี้มาใช้ หลังจากถูกกดขี่บีบคั้นจากรัฐบาลกลางให้ปกป้องตนเอง ในสมัยเฮอัน เกิดการต่อสู้ชิงอำนาจกันระหว่างตระกูลเพื่อโค่นล้มราชสำนัก ตระกูลใหญ่ๆ เหล่านี้ต้องการนักฆ่ามืออาชีพ ที่ทำงานหาข่าวและลอบสังหารฝ่ายตรงข้าม ทำให้คนที่ฝึกวิชาการต่อสู้เป็นที่ต้องการสูงมาก และกลุ่มนินจาก็เริ่มต้นตั้งแต่บัดนั้น คำว่า นินจา มาจากคำว่า ชิโนบิโนโมโน่ เมื่อเขียนด้วยตัวอักษรคันยิ อ่านว่า "นินชา" หากอ่านเป็นภาษาจีนจึงเป็น "นินจา" นินหมายถึงการหลบซ่อน จาหมายถึงบุคคล นินจาจึงหมายถึงบุคคลที่ซ่อนตัว ชนิดแวบไปแวบมานั่นเอง ![]() ในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นหลังจากมีนินจา แล้ว โชกุนของทุกๆฝ่ายเริ่มเห็นพลังอำนาจของนักฆ่าเหล่านี้ จึงมีนินจาไว้ใช้งานกันหมด ส่งผลให้ผู้ที่ถูกสงสัยว่าเป็นนินจาโดนตามล่า และกำจัดทิ้งไปมากมาย ด้วยเหตุนี้เอง การใช้นินจาลอบสังหารกระทำได้ยากขึ้น ทำให้ นักฆ่าหญิงมีเริ่มมีบทบาท กลายเป็นว่ามีนินจาหญิง ซึ่งถูกเรียกขานกันในนาม คุโนอิจิ --- วิชาการต่อสู้ --- ซามูไร - ศิลปะการใช้ดาบ เน้นโจมตีแบบประชิดตัว จะมีศักดิ์ศรีมากในตัวซามูไรแต่ละคน นินจา - ลอบสังหาร ว่องไวสูง ทักษะดี พรางตัวเก่ง เลือดเย็น ภารกิจที่ได้รับมา จะต้องทำให้สำเร็จ ซามูไร - เวลารู้ตัวว่าแพ้ หรือ สู้ไม่ได้ จะฮาราคีรี นินจา - ทำภาระกิจผิดพลาด หรือถูกจับได้ ก็จะฮาราคีรี ฮาราคีรี - การคว้านท้อง ว่ากันว่า เป็นการปลดปล่อย วิญญาณตัวเอง (ถึงไม่ยอมถูกคนอื่นฆ่าตาย) จากประวัติศาสตร์ ชาวโปรตุเกสที่เป็นพ่อค้าได้บันทึกเกี่ยวกับนินจาไว้ว่า He 's the same magician ซึ่งหมายถึงว่านินจาที่เค้าเห็นนั้นดูเหมือนกับมีเวทมนตร์ นักวิชาการ สาขาประวัติศาสตร์ก็ให้ข้อสันนิษฐานว่า การที่นินจาดูเหมือนมีและใช้เวทมนตร์นั้น เป็นไปได้ว่านินจาจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับ มายากลขั้นสูง เช่นการ แปลงกายเป็นท่อนไม้ หลบซ่อน อำพราง เรียกไฟ เรียกลม ใช้ระเบิดควันหายตัว ![]() ------------------ เครดิต : wikipedia |