(รีวิว) เซลด้า A Link Between Worlds

First Post Last Post  
limp2551 28 พฤศจิกายน 2556 , 10:51:20




ในบรรดาเกมเซลด้าที่ผมเคยเล่นเมื่อวัยประถม ผมรู้สึกชื่นชอบภาค A Link to the Past หรือ Zelda 3 (เครื่อง SFC ปี 1991) มากๆ ทั้งดีไซน์ของฉากที่เชื่อมไปมาระหว่างโลกอดีตและโลกปัจจุบัน การหาทางผ่านดันเจี้ยน และการค้นหาไอเทมลับต่างๆ ผมหวังว่ามันจะ “รีเมค” เพื่อพัฒนากราฟฟิคให้ทันสมัยเหมือนกับ Ocarina of Time (เครื่อง N64 ปี 1998) ที่รีเมคมาลง 3DS ปี 2011 , อย่างไรก็ตามด้วยความเป็นเด็กผมจึงเข้าไม่ถึง Zelda 1 (ปี 1986) และ Zelda 2 (ปี 1987) ที่หาเล่นได้ในเครื่องดิสก์แดงในยุคฟามิคอม (Famicom Disk System วางจำหน่าย ปี 1986) ต้องบอกกันก่อนนะครับว่าชื่อภาคที่มีตัวเลขต่อท้าย เป็นคำพูดเรียกกันในสะพานเหล็กยุคนั้น ไม่ใช่ชื่ออย่างเป็นทางการจากนินเทนโด้นะครับ






จากการคาดหวังว่า A Link to the Past จะมีรีเมคออกมา ใครจะไปคาดคิดล่ะครับว่านินเทนโด้จะออก “ภาคใหม่” A Link Between Worlds (โซน us วางจำหน่าย 22 พฤศจิกายน 2013) มาให้เล่น เพราะงั้นผมจึงรอคอยเกมนี้มาตั้งแต่ทราบข่าวจาก Nintendo Direct (17 เมษายน 2013) เดิมทีคุณ Shigeru Miyamoto (Producer ภาค A Link to the Past และ Ocarina of Time) ตั้งใจจะรีเมค A Link to the Past แต่ว่าคุณ Eiji Aonuma (Producer ภาค A Link Between Worlds) อยากจะทำมันขึ้นมาใหม่ เพราะงั้นในแง่ของ “ความสดใหม่” ผมจึงให้ภาค A Link Between Worlds สนุกและดีกว่ารีเมคของ Ocarina of Time หรือสรุปง่ายๆว่ามันเป็น “เกมใหม่” ไม่ใช่รีเมคเกมเก่านั่นเอง (อย่างไรก็ตามในแง่ของคุณค่าผมให้ Ocarina of Time เป็นเกมเซลด้าที่ดีที่สุดครับ)






A Link Between Worlds เป็นเกมเซลด้าลำดับที่ 17 และเป็นเกมแรกที่ตั้งใจทำให้เป็น 3DS-exclusive เป็นเกมแนว Action RPG มุมมองภาพตลอดทั้งเกมจะเป็น Bird's Eye View ไม่มีการตัดฉากดันเจี้ยนแบบ side-scrolling (Zelda 2) การบังคับสามารถใช้อนาล็อคบังคับได้ ไม่ต้องใช้สไตลัสบังคับเหมือนภาค Phantom Hourglass (เครื่อง DS ปี 2007) และ Spirit Tracks (เครื่อง DS ปี 2009) รูปแบบเกมแทบจะเรโทรภาค A Link to the Past ทั้งดนตรีประกอบ (BGM) และไอเทมคุ้นเคย เช่น Lamp (จุดไฟ) , Hookshot (ตะขอเกี่ยว) , Net (จับนางฟ้า) , Bombs (ระเบิดผนัง) , Hammer (ค้อนทุบ) ฯลฯ เรียกได้ว่าแฟนเกมที่เคยเล่น A Link to the Past มาก่อนก็คุ้นเคยกับไอเทมพวกนี้เป็นอย่างดี (สำหรับคนที่เล่นภาคนี้ครั้งแรก อาจจะต้องเดา “วิธีใช้พื้นฐาน” กันหน่อย แต่ก็เดาไม่ยากครับ) ฉากแผ่นที่จะแบ่งออกเป็นส่วนๆ นำมารวมต่อกันคล้าย Zelda 1 , 2 , 3 เนื่องจากเป็นเกมภาคต่อ ไอเทมเดิมๆที่เคยใช้งานมาแล้วในภาคก่อนจึงมีให้ใช้แทบจะครบในช่วงต้นเกม ไม่ต้องวิ่งไปมาเพื่อตามหาแต่ละอันตามดันเจี้ยนเหมือนที่เคยทำมาแล้วในภาคก่อน แต่ต้องใช้ความคิดและนำไอเทมพวกนั้นมาแก้ปริศนาเพื่อผ่านแต่ละดันเจี้ยน ระหว่างทางจะมีเควสย่อยให้ทำและค้นหาไอเทมเพื่ออัพเกรดเหมือนภาคที่แล้ว






แนะนำตัวละคร

- Link (ตัวเอก) ในภาคนี้สามารถเปลี่ยนชื่อได้ (ผมใช้ชื่อ limp2551) ออกผจญภัยเพื่อปกป้องดินแดน Hyrule และช่วยเหลือเจ้าหญิง Zelda
- Zelda เจ้าหญิงแห่งอาณาจักร Hyrule และเป็นผู้ครอบครอง Triforce of Wisdom
- Triforce ประกอบด้วยชิ้นส่วน 3 ชิ้น คือ Power (อำนาจ) , Wisdom (ปัญญา) , Courage (ความกล้า)
- Hilda เจ้าหญิงแห่งอาณาจักร Lorule ที่ปรากฏตัวครั้งแรกในภาคนี้ เป็นดินแดนอีกด้านหนึ่งที่ตรงข้ามกับอาณาจักร Hyrule
- Ravio พ่อค้าหน้าคล้ายกระต่ายที่มักจะมีไอเทมดีๆมาขายให้ Link ถ้าไม่มีเขา คุณก็คงหาทางผ่านดันเจียนต่างๆไม่ได้แน่ๆ
- Ganon ศัตรูตัวร้ายประจำซีรีย์เซลด้า ในภาคนี้เขาร่วมมือกับ Yuga
- Yuga ผู้มีพลังเสกให้ผู้คนกลายเป็น “รูปภาพ” ซึ่งตัวเอกอย่าง Link ก็เคยพลาดท่ากับพลังพิเศษนี้มาแล้ว






สิ่งที่หลายคนสงสัยว่าภาพสามมิติในเกมนี้สวยงามขนาดไหน ผมก็ต้องตอบแบบตามตรงว่า “ลูกเล่น” ในรีเมคภาค Ocarina of Time อลังการยิ่งกว่า อาจมีบางจุดที่เน้นภาพสามมิติลอยขึ้นมา เช่น ตอนที่ใช้ไอเทม Tornado Rod อย่างไรก็ตามด้วยความลงตัวของภาคก่อน A Link to the Past ทำให้การพัฒนาและใส่ไอเดียลงไปในภาคนี้ A Link Between Worlds กลับดูมีไอเดียที่สนุกขึ้นมากมาย ทั้งลูกเล่นการใช้พลัง “รูปภาพ” เพื่อค้นหาเส้นทางต่างๆที่แอบซุกซ่อนอยู่ ลูกเล่นการสลับโลกไปมาแต่เชื่อมต่อกัน รวมถึงไอเทมที่ออกแบบวิธีใช้งานมาได้ลงตัว ทั้งไอเทมที่เคยมีมาก่อนในภาค A Link to the Past และไอเทมชนิดใหม่ที่เพิ่มเข้ามาใน A Link Between Worlds จุดเด่นของการออกแบบดันเจี้ยนและการแก้ปริศนายังสุดยอดเช่นเดิม ตัวเกมมีความยาวในการเล่นประมาณ 10 – 20 ชม. มีดันเจี้ยนหลักอยู่ 7 แห่ง และเมื่อเล่นจบรอบแรกจะมีโหมด Hero Mode (โหมดยาก) ออกมาให้ท้าทายต่อ รวมถึงการใส่ระบบเฉพาะของ 3DS อย่างการใช้งานเหรียญนับก้าว และการใช้สตรีทพาสเพื่อประลองกับเพื่อน ซึ่งมีลูกเล่นให้เล่นได้เพลินใช้ได้ทั้งฉาก Sky Arena , Forest Arena , Fire Arena , Ice Arena และ Desert Arena ในด้านดนตรีต้องขอบคุณคุณ Ryo Nagamatsu ที่ทำหน้าที่ด้านดนตรีเสียงประสานทั้งบทเพลงเดิมเรียบเรียงใหม่และบทเพลงใหม่ที่เพิ่งใช้ในภาคนี้ ทีมงานเรียบเรียงมาได้อย่างงดงามจริงๆ เชื่อไหมครับว่าเพลงในปราสาท the hyrule castle เมื่อนำมาบรรเลงย้อนกลับ ก็จะได้เพลงใหม่ที่ลงตัวอีกเพลง ใครอยากลองฟังแนะนำให้หา trailer เกมนี้มาชม เพลงประกอบเพลงนั้นล่ะครับคือเพลงเดียวกันที่บรรเลงจากหลังมาหน้า






ถ้าจะมีข้อเสีย ผมก็นึกถึงการนำภาค A Link to the Past มาใช้มากเกินไป ทำให้ความรู้สึกในการเล่นมันก้ำกึ่งระหว่างเล่นเกม “เดิมๆ” ที่เพิ่มด่านใหม่เข้ามา อารมณ์มันก็คงประมาณนั้น บางทีอาจจะเพราะซีรีย์เซลด้าได้สร้างเกมเพลย์ที่สุดยอดมาก่อนหน้านั้นแล้ว อย่างภาค Skyward Sword (เครื่อง Wii ปี 2011) และเมื่อเจอกับรีเมค “ภาคที่ใหม่กว่า A Link to the Past” อย่างภาค Ocarina of Time เข้าไป ทำให้เกมเพลย์ใน A Link Between Worlds ดูเรโทรโบราณไปเลย บางทีแฟนเซลด้าที่ถวิลหาความแปลกใหม่อาจจะต้องรอฟังข่าวในงาน E3 2014 เกี่ยวกับเซด้าที่จะลง Wii U ล่ะมั้ง






คะแนน 5 / 5

จำใจติให้เห็นอีกมุมหนึ่ง แต่โดยรวมเกมนี้ยอดเยี่ยมมากๆครับ



รีวิวโดย limp2551