ฆาตกรที่ลงมือเงียบที่สุดโลก (เรื่องสั้นผมแต่งเอง) ...

First Post Last Post  
fantasyaun 16 สิงหาคม 2553 , 05:55:49
ไม่ต้องตกใจอะไรไปมันคือชื่อเรื่องสั้นที่ผมแต่งเองครับ เรื่องนี้อาจจะยาวซะหน่อยแต่อยากให้ทุกคนลองอ่านและวิจารณ์ดูครับ
เรื่องสั้นเรื่องนี้ผมตั้งใจแต่งมากเพราะจะส่งไปให้กับทางนิตยสารชื่อดังแห่งหนึ่ง แต่ส่งไปแล้วก็หายเงียบเข้ากลีบเมฆไป
สงสัยคงอยู่ในถังขยะของ บก. นั่นแหละมั้ง 5555+


___________________________

-1-

ลมหนาวในช่วงเดือนธันวาคมได้ลอยพัดผ่านเข้ามาภายในตัวบ้านสีขาวหลังหนึ่งที่เต็มไปด้วยของใช้ราคาแพงที่วางเกลื่อนกลาด เครื่องเงินสแตนเลสราคาเรือนแสนที่วางนิ่งอยู่ในตู้ไม้ก็ส่องประกายวาววับเมื่อจับต้องกับแสงไฟสีส้มอ่อนที่มาจากโคมไฟในบริเวณนั้น ร่างสูงโปร่งของชายคนหนึ่งได้นั่งเอนกายบนโซฟาอย่างเหนื่อยล้า เขาปลดเนคไทที่อยู่ในคอให้หลวมเพื่อสูดรับออกซิเจนได้สะดวกขึ้น สายตาของเขามองไปยังร่างของภรรยาที่เดินออกมาจากห้องครัว ในมือของเธอถือแก้วน้ำติดตัวมาด้วย เธอนั่งลงข้างๆแล้ววางมันไว้ตรงเบื้องหน้าพร้อมกับใช้มือที่เรียวเล็กบีบนวดไปที่ไหล่กว้างของเขาเบาๆ

เขากระดกดื่มแก้วน้ำที่ภรรยาเอามาให้อย่างกระหาย ท่าทางเขาผ่อนคลายขึ้น แต่คิ้วยังขมวดเข้าหา
กันเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “อีก 1 เดือน ถ้าเราไม่มีเงินไปชำระหนี้ในธนาคาร เราจะถูกฟ้องล้มละลายและถูกยึดทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่” เขาบ่นให้ภรรยาฟังด้วยแววตาที่เป็นกังวล ในสมองเขาตอนนี้ถูกความกลัวต่างๆที่ตัวเองสร้างขึ้นเกาะกุมในจิตใจ มันเหมือนเป็นปีศาจร้ายที่มาหลอกหลอนในทุกค่ำคืน

“อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดปล่อยวางมันไปเสียบ้าง อย่าคิดไปเองทั้งที่มันยังไม่เกิดขึ้นสิคะ คุณก็มีเพื่อนฝูงตั้งเยอะยังไงพวกเขาไม่ทอดทิ้งคุณหรอก” ภรรยาของเขาพูดปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงที่
อ่อนโยน จนทำให้เขาหยุดชะงักความคิดฟุ้งซ่านไว้ชั่วครู่ เขาหันไปมองหน้าภรรยาแล้วถอนลมหายใจออกมาเสียงดัง“ก็ขอให้มันเป็นในทิศทางที่ดีขึ้นแล้วกันแล้วนี้ลูกเรายังไม่กลับบ้านหรือ” “กลับมาตั้งนานแล้วละค่ะ ตอนนี้คงหมกตัวอยู่ในห้อง”

“งั้นดีเลย เดี๋ยวผมขอตัวขึ้นไปหาลูกข้างบนก่อนนะ” เขาผละตัวออกจากโซฟาลุกขึ้นเดินไปยังบันใดกลางบ้านทันที เมื่อเดินขึ้นมาถึงที่พักบันใด ตรงฝาผนังทางซ้ายมือมีรูปของโมนาลิซ่าคอยยิ้มเยาะต้อนรับเขาอยู่ แต่สภาพจิตใจที่ถูกรุมล้อมด้วยปัญหาไม่สามารถทำให้เขาฝืนยิ้มตอบกับนางได้ ละสายตาจากรูปเธอ เงยหน้าขึ้นไปมองประตูห้องของลูกสาวที่อยู่ตรงสุดทางเดินพร้อมก้าวเดินขึ้นไปตามทาง ไฟในห้องสาดแสงเล็ดลอดมานอกข้างนอก พร้อมกับเสียงเพลงที่ลอยมาแผ่วเบา มันเป็นเพลงสมัยใหม่ที่วัยรุ่นเขาชอบฟังกัน เขาเงี่ยหูฟังสักพัก แล้วเคาะประตูไม้ที่อยู่เบื้องหน้า “พ่อเองจ๊ะลูก” เขาตะโกนบอกคนในห้อง ไม่นานนักประตูก็แง้มออก หญิงสาวที่อยู่ในห้องชะเง้อหน้าออกมาเล็กน้อยพร้อมยิ้มให้กับเขาด้วยท่าทางที่สดใส

เขาก้าวเดินเข้าไปในห้องพร้อมมองไปรอบๆ มันแปลกตาขึ้นเล็กน้อย อาจเป็นเพราะเขาไม่ได้เข้าห้องนี้มานาน มองไปยังร่างของหญิงสาวที่นั่งอยู่บนเตียง แสงไฟในห้องแผ่ไปยังหน้าขาวใสของเธอ ดวงตากลมโตใต้คิ้วหนามองมาทางเขา หน้าตาของเธอเหมือนกับผู้เป็นแม่อย่างกับพิมพ์เดียวกัน เขายิ้มให้เล็กน้อยพร้อมทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ

“ทำไรอยู่เหรอลูก”

“อ่านหนังสืออยู่ค่ะพ่อ เพราะพรุ่งนี้หนูสอบ แล้วพรุ่งนี้ก็.....” พูดไม่ทันจะจบผู้เป็นพ่อก็แทรกขึ้นมาทันที


“แล้วพรุ่งนี้ก็เป็นวันเกิดของหนูใช่ไหม” เธอพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมยิ้มตอบ

“เอาละๆ อยากได้รถไว้ขับไปมหาลัยใช่ไหมเห็นแม่บอกมา”

“ใช่คะที่มหาลัยเพื่อนหนูเขามีขับกันไปเรียนหนูอยากมีมั่งคะคุณพ่อ ถ้ามีหนูจะได้กลับมาเจอหน้าคุณพ่อคุณแม่เร็วขึ้นไงค่ะ”

“แต่ที่บ้านเราก็มีรถหลายคันทำไมไม่เอาไปขับละ” ได้ยินดังนั้นเธอจึงโผเข้าไปสวมกอดแขนของผู้เป็นพ่อทันที

“ก็รถแต่ละคันของบ้านเรา มันล้าสมัยเกินไปที่จะขับบนท้องถนนตอนนี้แล้วนี่คะพ่อ แล้วอีกอย่างรถที่พ่อซื้อมา มันถูกใจพ่อแต่ไม่ถูกใจหนูนี่”

เขานิ่งเงียบครุ่นคิดโดยที่หญิงสาวยังคงกอดแขนของเขาแนบแน่น ถ้าเขาซื้อรถให้ลูกเงินที่สำรองไว้ใช้ในเหตุฉุกเฉินก็คงพร่องลงไป แต่ถ้าไม่ซื้อลูกก็คงจะเสียใจและพาลโกรธเขาเป็นแน่ หันไปมองหน้าลูกสาวที่รอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ แล้วถอนหายใจยาวออกมา

“งั้นพรุ่งนี้ลูกแต่งตัวให้สวยที่สุดเตรียมตัวให้พร้อม เดี๋ยวพ่อจะพาไปเลือกรถที่ศูนย์กัน” แววตาของหญิงสาวลุกวาวพร้อมกระโจนไปหอมบนแก้มที่หยาบกร้านของเขาฟอดใหญ่ แล้วผละตัวออกมากระโดดไปรอบๆด้วยความดีใจ

เขายิ้มอย่างชอบใจที่เห็นลูกสาวมีความสุข ความสุขของลูกก็คือความสุขของเขา ไม่มีแม้แต่ครั้งเดียวที่เขาจะขัดใจเธอ เขาจับจ้องภาพที่อยู่ตรงหน้าราวกับอยากจดจำมันไปทุกอย่าง อาจเพราะว่ามันเป็นความสุขที่เขาไม่ได้รับในรอบหลายอาทิตย์นี้

เย็นวันหนึ่งในสำนักงานเล็กๆที่ตั้งอยู่ในย่านกลางเมือง เขานั่งตรวจดูบัญชีรายรับรายจ่ายต่างๆที่เข้ามาในเดือนนี้ด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด กำหนดการชำระหนี้ธนาคารเริ่มใกล้เข้ามาแล้ว แต่ตัวเขายังไม่มีเงินไปจ่าย เขาหยิบบุหรี่ที่อยู่ในซองเข้าปากพร้อมเอาไฟแช็คขึ้นมาจุด ไฟสีแดงเริ่มโลมเลียที่ส่วนปลาย จนเกิดเป็นประกายไฟพร้อมควันคลุ้งไปทั่วบริเวณ เขาดูดมันเข้าปอดอึกหนึ่งแล้วพ่นควันสีเทาหม่นออกมาจากริมฝีปากที่แห้งกรัง เหลือบมองไปที่โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่เบื้องหน้า หยิบมันขึ้นมากดดูรายชื่อเพื่อหาคนรู้จักที่น่าจะช่วยเหลือเขาได้ เพียงชั่วครู่แถบแสงในโทรศัพท์ก็หยุดนิ่งไปที่ชื่อเพื่อนรักของเขาคนหนึ่งในสมัยเรียนอยู่มัธยมปลาย

“มึงต้องช่วยกูได้แน่ๆ” เขาบ่นพึมพำพร้อมกับโทรไปหาทันที รอการติดต่อ ไม่กี่อึดใจก็มีเสียงทุ้มที่เขาคุ้นเคยเล็ดลอดมา

“สวัสดีรับ ผมสุรชาติรับสายครับ”

“เห้ยไอ้ชาตินี่กูศรเองนะ”

“อ้าวเห้ยไอ้ศรเองเหรอ แล้วมึงมีธุระอะไรถึงโทรมาหากูวะ”

“กูเดือดร้อนวะเพื่อน มึงพอจะช่วยกูได้ไหมวะ”

แล้วเขาก็เล่าปัญหาที่มีอยู่ให้ชาติฟังจนหมด

“แล้วมึงติดหนี้ธนาคารเท่าไรวะ”

“40 ล้าน”

“40 ล้านเลยหรือวะ!” เสียงของชาติไล่ระดับขึ้น

“มึงพอมีเงินให้กูยืมไหม” การสนทนาเงียบลง ความอึดอัดเข้ามาแทนที่ระหว่างเขาทั้งสอง เขาไม่รู้ว่าชาติคิดอะไรอยู่ตอนนี้ แต่ความรู้สึกลึกๆที่อยู่ข้างในบอกเขาว่าชาติต้องช่วยเขาแน่นอน เพราะตอนที่ชาติลำบากเขาเคยยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือตั้งหลายครั้ง เขาดูดบุหรี่ในมือเข้าไปอีกอึกพร้อมรอฟังคำตอบที่จะออกมาจากปากเพื่อนรักอย่างจดจ่อ

เสียงถอนหายใจของชาติดังลอดออกมา เขานิ่งเงียบไม่พูดอะไร

“ไอ้ศรีกูมีเงินให้ยืมแค่ครึ่งหนึ่งของหนี้มึงท่านั้นนะ เพราะถ้ากูให้มึงหมดกูก็คงไม่มีเงินมาหมุนเวียนในบริษัทกูเหมือนกัน” เขาได้ยินดังนั้นจึงยิ้มออกมา เพราะสถานการณ์ที่เป็นอยู่เริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น

“แค่นี้มึงก็ช่วยกูได้มากแล้วไอ้ชาติ กูขอบใจมึงจริงๆไอ้เพื่อนรัก....”เขาปรายตามองปฎิทินที่อยู่ข้างผนัง วงกลมสีแดงที่ล้อมรอบในวันจันทร์ คือกำหนดการชำระหนี้ธนาคาร “…เออพรุ่งนี้วันเสาร์กูไปรับเช็คเงินสดที่บ้านมึงเลยละกัน”

การสนทนาของเขาและชาติจบลง เขากดวางสายโทรศัพท์พร้อมบี้บุหรี่ที่อยู่ในมือไว้ในที่เขี่ย เก็บเอกสารต่างๆที่อยู่ตรงหน้าไว้ในกระเป๋า เดินออกจากห้องไปยังที่จอดรถเพื่อเดินทางกลับบ้านทันที

ความมืดเข้าครอบคลุมไปทั่วทุกที่ ดวงจันทร์เสี้ยวลอยเด่นขึ้นมาทำหน้าที่ให้แสงสว่างแทนดวงอาทิตย์ในยามค่ำคืน แสงไฟจากตึกรามบ้านช่องสว่างไสวไปทั่ว ตลอดทางที่เขาขับรถผ่านมา เขาครุ่นคิดวิธีหาเงินที่เหลือด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด บัดนี้รถของเขาติดไฟแดงในย่านที่วัยรุ่นหนุ่มสาวเดินกันพลุกพล่าน เขามองภาพผู้คนที่เดินสัญจรผ่านไปมาตามข้างทางด้วยสายตาเหม่อลอย เหลือบมองไปเห็นหญิงสาวคนหนึ่ง ที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าน้อยชิ้นจนเผยผิวขาวออกมาโชว์ผู้คนที่เดินผ่านไปมา เขาคิดถึงลูกสาว ภาวนาในใจชาตินี้อย่าได้เจอลูกตัวเองแต่งตัวเหมือนกับผู้หญิงคนนี้เลย

ไฟจราจรได้แปรเปลี่ยนเป็นสีเขียว รถของเขาแล่นออกไปตามพื้นถนนที่ทอดยาวเบื้องหน้า ส่วนดวงใจของเขาแล่นไปหาลูกสาวด้วยความห่วงใยที่มีอยู่เปี่ยมล้น

เมื่อกลับมาถึงบ้านเขาไปปรึกษากับภรรยา เพื่อหาเงินที่เหลือมาชำระหนี้ธนาคารจนตกลงกันได้ว่า จะขายรถพร้อมกับเครื่องเรือนเครื่องเพชรที่มีอยู่ในบ้าน คงมีเงินเพียงพอที่จะชำระหนี้ธนาคารได้ส่วนหนึ่ง ถึงไม่หมดแต่ก็คงขอผ่อนผันได้

“ผมขอไม่ขายรถของลูกแล้วกัน ผมไม่อยากให้ลูกเสียใจ” เขาพูดกับภรรยา

“แต่คุณคะ เราจำเป็นต้องต้องใช้เงินนะ” เธอขึ้นเสียงกลับมา

“ผมยอมให้บ้านถูกยึดดีกว่าทำร้ายจิตใจลูก เราขายรถทั้งหมดที่มีอยู่ยกเว้นรถของลูกเราก็เพียงพอแล้วนี่”

ภรรยาเขาเข้าใจจิตใจของผู้เป็นสามีดีและเธอผู้เป็นแม่ก็ไม่อยากจะทำให้ลูกเสียใจเหมือนกัน

“งั้นก็ตามใจคุณละกัน ฉันไม่อยากจะเถียงแล้ว”

“เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะไปเอาเช็คเงินสดจากไอ้ชาติคุณจะไปกับผมไหม? ” ภรรยาเขาครุ่นคิดสักพักก่อนตอบรับกับสามมี

“ก็ดีเหมือนกัน ฉันก็ไม่ได้เจอกับชาติมานานแล้ว”


เขาขึ้นบันใดไปหาลูก เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูปรากฏว่าไม่มีแสงไฟเล็ดลอดออกมา มองดูนาฬิกาพรายน้ำที่อยู่บนข้อมือเป็นเวลา 5 ทุ่มกว่า เธอไม่ได้ล็อกห้องจึงเปิดประตูเข้าไปข้างในได้ เดินไปยังเตียงนอนเห็นลูกสาวนอนหลับตาพริ้มอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนใหญ่ เขายิ้มออกมาที่มุมปากพร้อมเอามือหยาบกร้านที่กุมงานหนักมาค่อนชีวิตไปสัมผัสกับผมยาวดำขลับของเธอ เขาก้มตัวลงไปหอมแก้มที่ขาวใสตรงหน้าอย่างแผ่วเบาจนได้กลิ่นหอมจางๆมาจากตัวเธอ นั่งมองใบหน้าไร้เดียงสาที่สะท้อนกับแสงจันทร์เพียงชั่วครู่ แล้วค่อยๆผละตัวออกไปจากห้องอย่างเงียบๆ

หมอกขาวในยามเช้าในได้ลอยเรียงรายไปทั่ว ความหนาวเหน็บได้เข้าครอบคลุมไปทุกพื้นที่ กลุ่มเมฆหนาที่อยู่ข้างบนได้ห้อมล้อมบดบังดวงอาทิตย์ทำให้แสงแดดในยามเช้าของวันนี้ดูมืดกว่าทุกวัน


เขาเดินออกมาจากตัวบ้านพร้อมสูดอากาศในยามเช้าเต็มปอดแล้วค่อยๆผ่อนลมออกมา บิดตัวคลายกล้ามเนื้อสักพักก่อนเดินไปยังที่เก็บรถภายในบ้าน สตารท์รถรอ มองไปยังประตูหน้าบ้านไม่เห็นวี่แววของภรรยา เขาจึงบีบแตรเรียกเสียงดังไม่นานนักเธอก็ออกมาจากตัวบ้านในชุดกระโปรงที่ยาวจนถึงหัวเข่า

“เร็วหน่อยสิคุณ เดี๋ยววันนี้ต้องเอารถและเครื่องเพชรของคุณไปขายอีก” เขาตะโกนเสียงดังออกมาจากข้างในรถ

“เวลามีอีกทั้งวันไม่เห็นต้องรีบร้อนอะไรมากมายนี่คุณ” เธอบ่นอย่างหงุดหงิดพร้อมก้าวเดินมาอาดๆ

ประตูรั้วเปิดออก เขาสั่งกำชับคนใช้ที่อยู่หน้าประตู ให้ดูแลลูกเขาให้ดี ก่อนขับจากไป

บ้านของชาติอยู่บริเวณชานเมืองจึงทำให้ต้องตื่นเช้าในวันนี้ เขาขับรถไปบนถนนที่เดินทางไปนอกตัวเมือง จากการจราจรบนถนนที่ติดขัดเมื่อครู่ก็เริ่มเบาบางลงเมื่อรถเริ่มเคลื่อนตัวเข้าเขตชานเมือง สองข้างทางที่รถวิ่งผ่านเริ่มมีต้นไม้ใหญ่เข้ามาแทนที่ตึกสูงระฟ้า หมอกยามเช้าเริ่มเจือจางแสงแดดเริ่มแข็งกล้าพวยพุ่งแหวกก้อนเมฆลงมายังพื้นดินเบื้องล่าง

เขารู้สึกเหนื่อยล้าจากปัญหาต่างๆที่เข้ามารุมล้อม หลายอาทิตย์มานี้เขานอนหลับไม่สนิทเพราะมัวแต่ครุ่นคิดถึงปัญหาที่สุมอยู่ในหัวแทบทุกคืน เหงื่อกาฬโทรมกายทั้งๆที่ในรถเปิดแอร์อยู่ หันไปปลุกภรรยาที่กำลังหลับอยู่ข้างๆให้มาขับรถแทน เธอรู้สึกตัวเผยอเปลือกตาขึ้นเล็กน้อยก่อนต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจเพราะเสาไฟฟ้าที่ตั้งอยู่ข้างทางได้มาปรากฏอยู่เบื้องหน้าของเธอ

เหตุการณ์รอบๆตัวเคลื่อนไหวไปอย่างรวดเร็ว ขาของเขาทิ้งน้ำหนักไปที่เบรกอย่างรวดเร็ว แต่มันช้าเกินไป! รถของเขาเข้าไปชนกับเสาไฟฟ้าอย่างแรงจนเสียงดังสนั่นไปทั่ว ส่วนหน้าของตัวรถถูกแรงปะทะบีบอัดเข้าหาคนทั้งสอง เลือดในกายเขาไหลย้อนขึ้นไปข้างบนจนทะลักออกจากปาก เศษกระจกที่แตกจากหน้ารถเข้าจมลึกบนผิวหนังของพวกเขา

มองไปยังภรรยาที่บัดนี้ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดสีแดงฉาน เธอยังไม่ตายแต่ร่างกายกระตุกถี่ เขาไม่สามารถช่วยเธอได้เพราะร่างกายถูกพันธนาการด้วยความเจ็บปวด มองดูร่างนั้นอยู่ครู่ใหญ่จนทุกอย่างหยุดนิ่ง เขาเรียกชื่อเธออย่างบ้าคลั่งแต่ไม่มีปฎิกิริยาตอบกลับ


ร่างกายเขาอ่อนแรงลงเรื่อยๆลมหายใจติดขัด เขาคิดถึงลูก ถ้าเขาตายไปแล้วลูกเขาจะอยู่ได้อย่างไร หนี้สินที่เขามีอยู่เธอคงไม่มีปัญญาสะสาง เพราะเขาเลี้ยงลูกด้วยเงินมาตลอดไม่เคยสอนให้เธอใช้ชีวิตบนโลกนี้ด้วยความสามารถของตัวเอง เขาไม่มีญาติสักคนที่อยู่บนโลกนี้ เขาเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่เติบโตมาในสถานสงเคราะห์และสร้างทุกอย่างด้วยความสามารถของตัวเอง

แล้วเธอจะอยู่ได้อย่างไรเมื่อไม่มีคนคอยช่วยเหลือ ทุกคนที่ผ่านข้ามาในชีวิตของเธอหาคนจริงใจได้สักกี่คน?

ก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายจะหลุดออกจากร่างกายที่แหลกเหลว ภาพต่างๆในอดีตที่เขาได้อยู่กับลูกสาวก็พลันปรากฏขึ้นมาชัดเจนในหัว เขาคิดถึงลูกเขายังไม่อยากตาย น้ำตาของเขาไหลพรากออกมาอาบแก้มทั้งสองข้าง เลือดสีแดงฉานยังคงไหลรินออกจากปากแผลไม่ยอมหยุด เขากระอักลิ่มเลือดออกมาครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะจากไปพร้อมกับรอยยิ้มจางๆที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา

-2-

เสียงกดสวิตซ์ไฟจากปลายมือของใครคนหนึ่งดังขึ้นในห้องที่มีแต่ความเงียบครอบคลุมไปทั่วบริเวณ เพียงพริบตาเดียวแสงสว่างจากไฟนีออนที่อยู่บนเพดานก็สาดส่องลงมาทำลายความมืดมิดที่อยู่ภายในห้องนั้นจนหมดสิ้น

ร่างของผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏกายขึ้นในห้องนั้น เธอเดินโซเซด้วยท่าทางที่อ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง ไปยังเตียงนอนสีขาวที่อยู่ทางมุมห้อง เมื่อร่างอันบอบบางเดินมาถึง ก็ทิ้งตัวลงเอนกายบนเตียงนั้นทันที เธอเหม่อลอยมองไปยังบนเพดานคิดถึงเรื่องรามต่างๆ ที่ตัวเองได้ผ่านมา ไม่นานนักดวงตาคู่สวยของเธอกับหม่นหมองลง น้ำตาจากความโศกเศร้าเสียใจก็พลันพลั่งพรูออกมาอย่างกับทำนบแตก

เธอยันตัวขึ้นค้นหาบางอย่างที่อยู่ในลิ้นชักบนหัวเตียง ไม่นานนักขวดแก้วสีชาที่มีกระดาษเขียนไว้ว่ายานอนหลับก็ติดปลายมือเธอมา เธอเทมันลงบนฝ่ามือจนหมด กำไว้แน่น และกรอกมันเข้าปากโดยไม่เหลือสักเม็ดเดียว!

“พ่อคะ แม่คะ ทำไมพวกท่านต้องจากหนูไปเร็วแบบนี้” หญิงสาวรำพันกับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ เปลือกตาของเธอหนักอึ้งปิดลงพร้อมพาจิตใจ ที่บอบช้ำของตัวเองจมดิ่งไปสู่ห้วงนิทราชั่วนิรันดร์....


__________________________________


เรื่องสั้นเรืองนี้ผมจะสื่อสารออกมาว่าพ่อแม่ในสังคมไทยยุคปัจจุบันนี้เลี้ยงลูกเป็นไข่ในหินมากเกินไป ใช้เงินเลี้ยงลูกของตัวเองมากกว่าที่จะสอนให้เขาเรียนรู้ก้าวเดินด้วยเท้าของตัวเขาเอง จนกลายเป็นพ่อแม่รังแกฉัน บางทีความรักจากพ่อแม่ที่มีให้เรามากเกินไปบางครั้งในความรักนั้นอาจจะทำร้ายเราขึ้นมาได้ถ้าเราไม่ได้ฉุกคิดและตามมันให้ทัน.......

ปล.เรื่องสั้นเรื่องใด นิยายเรื่องใด บทความเรื่องใด เมื่อเราใช้ความคิดของเราแล้วบรรจงลงบนกระดาษจนเป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว นั่นหมายถึงเรื่องต่างๆที่เราสรรสร้าขึ้มานั้นได้รับการคุ้มครองตามกฏหมายลิขสิทธิ์ทางความคิดแล้ว ใครเอาไปโดยไม่รับอนุญาตผมจะใช้กฎหมายเล่นงานให้ถึงที่สุดครับ

(พอดีผมมีโจทย์อยู่คนหนึ่งต้องขอบอกไว้ก่อนถ้ามันเอางานผมไปแอบอ้างเป็นชื่อของมันผมไม่ใจดีอย่างคุณ Narl ในเวปจีคอนแน่ๆ)